วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สถาปัตยกรรมแบบโกธิค

สถาปัตยกรรมกอทิก
สถาปัตยกรรมกอทิก (อังกฤษ: Gothic architecture) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในช่วงกลางสมัยกลางถึงปลายสมัยกลาง โดยวิวัฒนาการมาจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และตามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สถาปัตยกรรมกอทิกเกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยเริ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศสก่อนที่จะเผยแพร่ไปยังประเทศอังกฤษและต่อไปยังทวีปยุโรปโดยทั่วไป สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และรุ่งเรืองต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในระยะแรก สถาปัตยกรรมทรงนี้เรียกกันว่า "แบบฝรั่งเศส" (Opus Francigenum) คำว่า "กอธิค" มาเริ่มใช้กันในตอนปลายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในทางที่เป็นการหมิ่นลักษณะสถาปัตยกรรม ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการใช้โค้งแหลม เพดานสัน และ ค้ำยันแบบปีก
สถาปัตยกรรมกอทิกเป็นสถาปัตยกรรมที่นิยมใช้ในการสร้างอาสนวิหาร แอบบีย์ และคริสต์ศาสนสถานอื่นๆ ของยุโรป นอกจากนั้นก็ยังใช้ในกาสร้างปราสาท, วัง, ตึกเทศบาลเมือง, มหาวิทยาลัย และบางครั้งก็สำหรับที่อยู่อาศัยแต่ก็ไม่มากนัก สถาปัตยกรรมกอกอทิกที่ใช้ในการก่อสร้างโบสถ์และอาสนวิหาร และในสิ่งก่อสร้างบางสิ่งของฆราวาสที่เป็นการแสดงลักษณะการก่อสร้างอันมี พลัง ลักษณะรูปทรงของสิ่งก่อสร้างแบบกอธิคเป็นลักษณะที่ก่อให้เกิดความสะเทือนทาง อารมณ์ ซึ่งทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมใช้ในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมทาง ศาสนา และสิ่งก่อสร้างหลายแห่งก็มีคุณค่าสูงพอที่จะได้รับการมอบฐานะให้เป็นมรดกโลก
ในอังกฤษในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มมีการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมกอธิค ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิค ที่เผยแพร่ไปยังยุโรป ที่เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่นิยมใช้ในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิทยาลัย ความนิยมสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิคดำเนินต่อมาจนถึง คริสต์ศตวรรษที่ 20
สถาปัตยกรรมกอทิกพัฒนาขึ้นจากปัญหาทางโครงสร้าง โบสถ์ในสมัยนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาใช้โครงสร้างหลังคาโค้งแหลม (point vault) แรงกดของโครงสร้างหลังคาโค้งแหลม จึงพุ่งเป็นเส้นดิ่งมากกว่าโค้งครึ่งวงกลมและถ่ายน้ำหนักจากหลังคาโค้งไปยังเสา (pier) ที่รองรับซึ่งจะสูงชะลูดและมีส่วนค้ำยันผนังเป็นครีบอยู่ภายนอกอาคาร ที่เรียกว่า ครีบยัน ซึ่งตั้งต้นจากยอดของเสาด้านในเอียงมาจดผนังครีบริมนอก ช่วยรับน้ำหนักของโค้งอีกด้วย ส่วนน้ำหนักที่พุ่งออกมาจากด้านข้างของโค้งตรงส่วนข้างของโบสถ์อาศัยผนัง ครีบด้านนอกรับไว้ ช่วงแต่ละช่วงจึงมีระยะห่างไม่ได้มาก ดังนั้น ส่วนสัดของช่องระหว่างเสาและรูปทรงโบสถ์สมัยกอทิกจะสูงชะลูดและแคบ และเนื่องจากไม่ได้ใช้ผนังรับน้ำหนักอีกต่อไป จึงสามารถเจาะช่องหน้าต่างซึ่งมักทำเป็นรูปวงกลมมีลวดลาย และประดับด้วยกระจกสีที่เรียกว่า หน้าต่างกุหลาบ ได้มากขึ้น
ทางด้านจังหวะในงานสถาปัตยกรรม ในสมัยแรก ๆ มักใช้จังหวะตายตัวและซ้ำ ๆ กัน ภายในอาคารมักใช้เสารายเป็นแนว เพื่อดึงความสนใจไปเพียงที่แห่งเดียวคือ แท่นบูชา แต่ต่อมาก็เปลี่ยนแปลงไปจะใช้จังหวะที่เป็นอิสระมากขึ้น
คำว่า "กอทิก"
คำว่า "กอธิค" เมื่อกล่าวถึงสถาปัตยกรรมมิได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับชาวกอทในประวัติศาสตร์ แต่เป็นคำที่เป็นเชิงดูหมิ่นถึงลักษณะสถาปัตยกรรม ที่นำมาใช้ราวคริสต์ทศวรรษ 1530 โดยจอร์โจ วาซารีในการบรรยายวัฒนธรรมที่ถือว่าหยาบและป่าเถื่อน ในสมัยที่วาซารีเขียนอิตาลีกำลังอยู่ในสมัยของความรุ่งเรืองทางสถาปัตยกรรม ที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกที่ถือกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นสูง ในที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดทางสถาปัตยกรรมและเป็นยุคทองแห่งการแสวงหาความรู้
สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ ในที่สุดก็เผยแพร่ไปทั่วยุโรปที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะต่างๆ ของวัฒนธรรมก่อนหน้าการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ เน้นความสนใจในทางศาสนา และมีความเห็นว่าสมัยก่อนหน้านั้นเป็นสมัยของความงมงายและความขาดความรู้ ซึ่งเป็นที่มาของบทเขียนของฟร็องซัว ราเบอเล (François Rabelais) นักเขียนชาวฝรั่งเศสของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ใน "Gargantua and Pantagruel" ซึ่งเป็นนวนิยายที่กล่าวถึงแอบบีเทเลเม ที่บนประตูทางเข้ามีคำจารึกว่า "เทวสถานนี้ไม่อนุญาตสำหรับผู้เสรแสร้ง, ผู้ลำเอียง..." ที่เป็นนัยยะถึง "กอท" และ "และออสโตรกอท" ที่ถือว่าเป็นคนป่าเถื่อนเข้า
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 การใช้คำว่า "กอท" ในอังกฤษเท่ากับการใช้คำว่า "แวนดัล" ซึ่งเป็นกลุ่มชนเชื้อสายเจอร์มานิคผู้นิยมการทำลายทรัพย์สินและสิ่งของ และกลายมาเป็นคำที่ใช้ในการบรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมของทางตอนเหนือของยุโรป ก่อนที่จะมาฟื้นฟูลักษณะสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกกันขึ้น
จากข้อเขียนในจดหมายที่เขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในนิตยสาร Notes and Queries ในลอนดอนกล่าวว่า:
ไม่เป็นสิ่งที่ต้องสงสัยเลยว่าคำว่า "ฟรองซัวส์ ราเบอเลส์" เป็นคำที่ใช้บรรยายลักษณะการก่อสร้างศาสนสถานในเชิงดูหมิ่น โดยผู้ที่มีความทเยอทยานในการเลียนแบบและฟื้นฟูสถาปัตยกรรมแบบกรีก หลังจากการฟื้นฟูวรรณกรรมคลาสสิกแล้ว นอกจากนั้นผู้มีอิทธิพลเช่นคริสโตเฟอร์ เรนก็ ยังมีส่วนช่วยในการลดคุณค่าของลักษณะสถาปัตยกรรมของยุคกลาง ซึ่งทำให้คำว่ากอธิคมามีความหมายเช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่หยาบและป่า เถื่อน
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1710 สถาบันสถาปัตยกรรมก็ประชุมกันในปารีส ในบรรดาหัวข้อที่ถกเถียงกันที่เป็นที่สังเกตของที่ประชุมคือแนวโน้มของความ นิยมในการใช้โค้งนูนโค้งเว้า "ในการก่อสร้างส่วนที่ปกคลุมตอนปลายของปล่องไฟ ซึ่งเป็นลักษณะที่คณะที่ประชุมไม่เห็นด้วยและถือว่าเป็นแบบที่ไม่สมบูรณ์ และเป็นลักษณะที่ออกไปทางกอทิก"

อิทธิพลต่าง ๆ ที่มีต่อลักษณะสถาปัตยกรรม
ภูมิภาค
ในตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 12 ยุโรปก็แบ่งออกเป็นนครรัฐและราชอาณาจักรต่างๆ บริเวณที่รวมทั้งในปัจจุบันที่เป็นเยอรมนี, เนเธอรแลนด์, เบลเยียม, ลักเซมเบิร์ก, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, ทางตะวันออกของฝรั่งเศส และส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลียกเว้นเวนิสก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และประมุขของท้องถิ่นก็ยังคงมีอำนาจพอสมควร ฝรั่งเศส สกอตแลนด์ สเปน และ ซิซิลี ต่างก็เป็นราชอาณาจักรอิสระ รวมทั้งอังกฤษที่ปกครองโดยกษัตริย์แพลนทาเจเน็ทผู้ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสในขณะเดียวกันด้วย. นอร์เวย์มาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ ขณะที่ประเทศสแกนดิเนเวียอื่นๆ และโปแลนด์อยู่ภายใต้อิทธิพลของเยอรมนี กษัตริย์อ็องฌูเป็นผู้นำวัฒธรรมกอธิคไปเผยแพร่ยังอิตาลีใต้
ยุโรปโดยทั่วไปในช่วงนั้นอยู่ในระหว่างความรุ่งเรืองทางการค้าที่เป็นผลมาจากความเจริญของเมืองต่างๆ เยอรมนีและกลุ่มประเทศต่ำมีเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่แข่งขันกันอย่างสันติ และบางกลุ่มก็มารวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเช่นกลุ่มสันนิบาตฮันเซียติก การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นของเมืองก็กลายมาเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ของเมือง แต่ทางอังกฤษและฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระบบการปกครองแบบศักดินาซึ่งทำให้ สถาปัตยกรรมยังเป็นการเน้นการก่อสร้างสำหรับผู้ครองอาณาจักร แทนที่จะเป็นตึกเทศบาลเมืองหรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นของประชาชนผู้มั่งคั่งใน เมือง
วัสดุ
ปัจจัยอื่นที่เป็นอิทธิพลของท้องถิ่นก็คือวัสดุก่อสร้าง ในฝรั่งเศสหินปูนเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยทั่วไปหลายระดับ ตั้งแต่ชนิดที่ละเอียดในบริเวณคอง (Caen) ที่เป็นที่นิยมของประติมากรในการใช้แกะสลัก อังกฤษมีหินปูนแต่หยาบกว่า และหินทรายสีแดง และ หินอ่อนเพอร์เบ็คสีเขียวคร่ำที่มักจะใช้ในการตกแต่งทางตอนเหนือของเยอรมนี, เนเธอรแลนด์, สแกนดิเนเวีย, ประเทศในบอลติค และ ทางตอนเหนือของโปแลนด์ก็มีหินแต่การก่อสร้างนิยมการใช้อิฐซึ่งเป็นลักษณะที่ เรียกว่าสถาปัตยกรรมกอทิกอิฐ (Backsteingotik) และมักจะเป็นนัยยะถึงกลุ่มสันนิบาตฮันเซียติกในอิตาลีหินใช้ในการก่อสร้างป้อมปราการ แต่อิฐเป็นที่นิยมในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอื่นๆ นอกจากนั้นอิตาลีก็ยังมีหินอ่อนเป็นจำนวนมากและหลายแบบ ด้านหน้าของสิ่งก่อสร้างจึงมักจะทำด้วยหินอ่อนบนด้านในที่เป็นอิฐ ฉะนั้นบางครั้งจึงพบสิ่งก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จที่ด้านหน้ายังคงเป็น อิฐที่รอการต่อเติมให้เป็นหินอ่อนในเวลาต่อมา
การใช้ไม้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรม เช่นในการก่อสร้างเพดานที่ใช้คานแฮมเมอร์ (hammer-beam) อันวิจิตรของอังกฤษเป็นการก่อสร้างที่มีผลมาจากการขาดไม้ที่ตรงและยาวในตอน ปลายของยุคกลาง เมื่อป่าถูกถางไปสร้างเรือและเพดานขนาดใหญ่


ศาสนา
ช่วงต้นสมัยกลางเป็นสมัยของความรุ่งเรืองของอารามต่าง ๆ ที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นและแพร่ขยายไปทั่วยุโรป คณะนักบวชคาทอลิกที่นำหน้ากว่าคณะอื่นคือคณะเบเนดิกตินผู้สร้างแอบบีย์ขนาดใหญ่มากมายกว่าคณะอื่นใดในอังกฤษ คณะเบเนดิกตินมักจะสร้างแอบบีย์ภายในตัวเมือง ไม่เหมือนกับคณะซิสเตอร์เชียนที่มักจะสร้างในชนบท คณะซิสเตอร์เชียนและคณะกลูว์นีจะเป็นลัทธิที่แพร่หลายในฝรั่งเศส อารามที่กลูว์นีสร้าง กลุ่มสิ่งก่อสร้างที่ใช้เป็นอารามที่เป็นระเบียบแบบแผนที่กลายมามีอิทธิพล ต่อการก่อสร้างกลุ่มสิ่งก่อสร้างสำหรับอารามเป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีก็ตั้งคณะฟรันซิสกัน หรือที่เรียกว่า "ไฟรอาร์เทา" (Grey Friars) ที่แยกออกมาคณะดอมินิกันที่ก่อตั้งโดยนักบุญดอมินิกในตูลูสและโบโลญญามีอิทธิพลต่อการก่อสร้างสถาปัตยกรรมกอทิกในอิตาลี
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมกอทิกวิวัฒนาการมาจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ก่อนหน้านั้น ส่วนใหญ่แล้วการเปลี่ยนแปลงมิใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เช่นที่เกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของฟลอเรนซ์ไปเป็นสถาปัตยกรรมคลาสสิกโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกีเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ หรือ สถาปัตยกรรมนอร์มันที่เป็นคำที่ใช้ในอังกฤษเพราะความสัมพันธ์กับการรุกรานของนอร์มันเป็น ลักษณะสถาปัตยกรรมที่วางรากฐานของรูปทรงพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมที่ค่อยมา เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดสมัยกลาง โครงสร้างพื้นฐานของมหาวิหาร โบสถ์ประจำเขตแพริช, อาราม, ปราสาท, วัง, โถงใหญ่ (great hall) และ เรือนเฝ้าประตูต่าง ก็ได้รับการวางรากฐานไว้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการสร้างเพดานโค้งสัน, กำแพงครีบ, เสากลุ่ม (clustered columns), ยอดแหลม (spires), ประตูแกะสลัก
ความเปลี่ยนแปลงสิ่งเดียวที่มีความสำคัญต่อการแยกระหว่างลักษณะของ สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์กับกอธิคคือการการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ผนังอันหนาเทอะ ทะที่มีช่องเปิดแคบ ๆ เป็นระยะ ๆ ไปเป็นลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยแสง ที่ใช้ลักษณะเด่นของเพดานโค้งแหลม การใช้เพดานโค้งแหลมทำให้เกิดการพัฒนาวิธีการก่อสร้างหลายอย่างที่ได้ทำการ ทดลองกันตามที่ต่างจนเมื่อประสบผลสำเร็จแล้วจึงได้ทำการเผยแพร่ให้ใช้ได้โดย ทั่วไป การพัฒนาก็เพื่อการตอบสนองความต้องการทางโครงร่าง, ความงดงาม และความต้องการทางปรัชญา ความเปลี่ยนแปลงก็รวมทั้งกำแพงปีกนก, ยอดแหลมรายบนหลังคา, หน้าต่างตกแต่งด้วยซี่หินเป็นลวดลาย


อิทธิพลจากตะวันออก
การสร้างเพดานแบบที่เรียกว่า 'pitched brick' ที่สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องมีศูนย์กลางรับอาจจะทำมาตั้งแต่สมัยตะวันออกใกล้โบราณมาจนถึงสองร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชตัวอย่างที่เก่าที่สุดของโค้งแหลมที่ทำด้วยปูนพบในสมัยสถาปัตยกรรมของปลายโรมัน และ จักรวรรดิซาสซานิยะห์ โดยเฉพาะในการสร้างคริสต์ศาสนสถานในสมัยแรกในซีเรีย และเมโสโปเตเมีย แต่บางครั้งก็พบในสิ่งก่อสร้างที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างทางศาสนาด้วยเช่นสะพานคารามาการา. หลังจากการพิชิตดินแดนของมุสลิมในคริสต์ศตวรรษที่ 7 การก่อสร้างลักษณะนี้ก็กลายมาเป็นลักษณะมาตรฐานของสถาปัตยกรรมอิสลาม
ความเห็นของทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าการเพิ่มการเกี่ยวข้องกันทางทหารและทางวัฒนธรรม ที่รวมทั้งนอร์มันได้รับชัยชนะ (Norman conquest of southern Italy) ต่อซิซิลีของอิสลามในปี ค.ศ. 1090, สงครามครูเสดที่เริ่มในปี ค.ศ. 1096 และอิสลามในสเปน นำมาซึ่งความรู้ของโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญมายังยุโรปยุคกลาง
อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าเชื่อกันว่าโค้งแหลมวิวัฒนาการขึ้นตามธรรมชาติใน ยุโรปตะวันตกเพื่อเป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง พร้อมกับการเริ่มใช้ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ในฝรั่งเศสและอังกฤษ
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิค (Gothic Revival architecture)
ประวัติความเป็นมา
                                  สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิค (Gothic Revival architecture)  เป็นสถาปัตยกรรมที่เริ่มราวปี ค.ศ. 1840 ที่อังกฤษ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19
โดยย้อนกลับไปถึงยุคศิลปะโกธิคเป็นศิลปะที่เกิดในยุโรปช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 มีศูนย์กลางที่
ฝรั่งเศส คำว่า"Gothic" เริ่มใช้ครั้งแรกโดยนักวิจารณ์ศิลปะสมัยเรอเนซองส์ตอนปลายของอิตาลี
     ศิลปะแบบโกธิคเป็นผลงานที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มคนที่เรียกว่าพวกกอธ แฟรงค์ ลอมบาร์ค สลาฟ และแซกซอน ซึ่งต่างเป็นชนเผ่าป่าเถื่อน ไร้ความเจริญทางศิลปวิทยาการ และยังเป็นชนเผ่าที่ทำลายจักรวรรดิโรมัน ดังนั้นนัยยะ ที่ใช้เรียกว่า "ศิลปะโกธิค" จึงเป็นการเรียกขานที่บ่งบอกไปในทางเย้ยหยัน ดูถูก  เมื่อ เปรียบเทียบกับคุณค่าศิลปะแบบกรีก-โรมัน ที่มีกฏเกณท์ชัดเจน ซึ่งในยุคเรอเนซองส์ได้รื้อฟื้นกลับมาปรับใช้ในยุคสมัยของตน จนเรียกชื่อยุคว่าเรอเนซองค์ หรือฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หมายถึงย้อนกลับไปรื้อฟื้นศิลปวิทยาการแบบกรีก-โรมันขึ้นมาอีกนั้น จึงยิ่งส่งผลให้มองศิลปกรรมอันเกิดจากฝีมือของผู้ทำลายอาณาจักรโรมันยิ่งดูไร้คุณค่าไร้รสนิยมยิ่งขึ้น
แต่สำหรับชาวยุโรปทั่วไปนอกจากอิตาลี มักจะยอมรับศิลปกรรมโกธิคมากกว่าจะดูแคลน  ศิลป กรรมโกธิคเป็นศิลปะที่มีคุณค่าในตนเองอีกลักษณะรูปแบบหนึ่งของโลก ส่งผลต่อกระแสการหวนกลับไปสู่การชื่นชมและสร้างงานศิลปกรรมโกธิคอีกครั้งใน ศตวรรษที่ 18 ทั้งในยุโรปและอเมริกา จนกลายเป็นยุคที่เรียกว่า Gothic Revival ซึ่งหมายถึงการกลับมาฟื้นฟูศิลปะแบบโกธิคอีกครั้งหนึ่ง
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิค เริ่มต้นขึ้นประมาณปลายคริสตศตวรรษที่ 18 และมีอิทธิพลอยู่ประมาณ350ปี ต่อเนื่องมาจากศิลปะโรมาเนสก์ พบในศิลปะศาสนาการสร้างมหาวิหาร (Cathedral) พอถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ศิลปะแบบนี้ก็เผยแพร่ไปยังศิลปะทางโลกที่เรียกกันว่าโกธิคนานาชาติ (International Gothic) ศิลปะโกธิคนิยมกันมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 จึง เริ่มวิวัฒนาการมาเป็น ศิลปะยุคเรอเนสซองซ์ ศิลปะแขนงสำคัญของสมัยโกธิคคือ ประติมากรรม งานกระจกสีจิตรกรรมฝาผนัง การเขียนลวดลายในหนังสือวิจิตร ศิลปะโกธิคเริ่มต้นจากฝรั่งเศสและแพร่หลายไปยังประเทศอื่น ๆ และมีลักษณะตามภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย
ลักษณะ สำคัญของสถาปัตยกรรมมีผนังเปิดกว้าง มีส่วนสูงเด่นเป็นพิเศษและมีแบบที่ออกมาเป็นลายเส้นอันซับซ้อน ทุกส่วนล้วนประกอบเข้าด้วยกันเป็นสัญลักษณ์นิยม ทางศาสนา โครงสร้างหลังคาเป็นโค้งแหลม ลักษณะต่างๆ เหล่านี้จะหาดูได้จากมหาวิหารในฝรั่งเศส, เยอรมนี และ อังกฤษ เช่น มหาวิหารแซงเดอนี(ฝรั่งเศส) มหาวิหารโนยง(ฝรั่งเศส) มหาวิหารลาออง(ฝรั่งเศส) มหาวิหารอาเมียง(ฝรั่งเศส) มหาวิหารกลอสเตอร์(อังกฤษ) และ มหาวิหารเอ็กซีเตอร์(อังกฤษ) เป็นต้น
ลักษณะของสถาปัตยกรรมโกธิ
ในสถาปัตยกรรมโกธิคมีโครงสร้างหลักคือ pointed arch , ribbed vault และ flying buttress ลักษณะ การวางผังมักเป็นรูปกางเขน ตรงกลางเป็นnave ขนาบด้วยaisleทั้งสองด้าน มักมีหอคอย หลังคาทรงสูง โปร่ง มีการใช้Archยอดแหลม ประดับประดาตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม  หน้าต่างมีลักษณะยอดปลายแหลมหรือเป็นรูปวงกลม(Rose window) ประดับกระจกสี(stain glass)
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศอังกฤษ
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคได้แพร่หลายไปที่ประเทศอังกฤษเมื่อ Sir Horace Walpole ได้ทำการปรับปรุงบ้านพักอาศัยที่เมืองStrawberry Hillโดยใช้ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เช่น Arch หน้าต่างและลวดลายประดับประดา  พอถึงคริสตศตวรรษที่ 18 ก็กลายเป็นที่นิยม บ้านเรือนในอังกฤษก็นิยมทำแบบแบบโกธิค โดยลอกเลียนรูปร่างอาคารมาจากโบสถ์และปราสาทเก่าแก่ และยังนิยมไปถึงควีนวิคตอเรีย ก็ทรงชื่นชอบความน่าตื่นตาตื่นใจของสถาปัตยกรรมแบบ Gothic Revival style
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศสหรัฐอเมริกา
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคมีรากฐานมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 18 แต่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอเมริกาในปีค.ศ.1840-1850
สถาปัตยกรรม ฟื้นฟูโกธิคมีความละเอียดลออในการประดับประดาตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก สถาปัตยกรรมในยุคกลาง เช่น รูปแบบหน้าต่างที่มีการประดับกระจกสี ยอดโค้งแหลมหรือ pointed arches และรูปทรงอาคารที่เปลี่ยนไป



สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศไทย
                สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงกรุงรัตน โกสินทร์ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนกรงศรีอยุธยาแห่ง ที่สอง กล่าวคือได้มีการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญ โดยเลียนแบบอย่างมาจากกรุงศรีอยุธยารวมไปถึงสถาปัตยกรรมประเภท บ้านพักอาศัย เรือนไทยบางเรือนที่ยังคงเหลือจากการทำศึกสงครามกับพม่าก็ถูกถอดจากกรุง ศรีอยุธยามาประกอบที่กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครกลายเป็นมหานครศูนย์กลางแห่งหนึ่งที่รวบรวมเอาผู้คนหลายหลาย ชาติวัฒนธรรมเข้ามารวมอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็น แขก (อินเดีย) ฝรั่ง (ชาติตะวันตก) และ จีน ที่มีการซึมซับวัฒนธรรมอื่นมาทีละน้อย หลักฐานในยุคนั้นไม่ปรากฏเท่าไร เนื่องจากผุพังไปตามสภาพกาลเวลา แต่จะเห็นได้จากภาพตามจิตรกรรมฝาผนังของวัดต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้น รวมถึงรูปแบบบ้านพักอาศัยซึ่งมีตึกปูนแบบจีนอยู่ค่อนข้างมาก
                ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นยุคทองแห่งศิลปะจีน มีการใช้การก่ออิฐถือปูนและใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าบันแทนแบบเดิม สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้นดังเช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศิลปะแบบโกธิค
วัดนิเวศธรรมประวัติ
วัด นิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic)พระ อุโบสถของวัดนั้นสร้างเลียนแบบโบสถ์ในคริสต์ศาสนา โดยภายในประดิษฐาน "พระพุทธนฤมลธรรโมภาส" เป็นพระประธาน ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ โดยลักษณะที่ผสมผสานศิลปะแบบประเพณีนิยม และศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายสามัญชน นอกจากนี้ บริเวณฐาน ชุกชีก็มีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์ และฝาผนังโบสถ์ด้านหน้าของพระประธานนั้น เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ที่ป
ระดับด้วยกระจกสี
โบสถ์วัดกาลหว่าร์
                โบสถ์แม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์)กรุงเทพฯ หลังที่ 3(หลังปัจจุบัน) สร้างในปี ค.ศ.1891(พ.ศ. 2434) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตั้งซอยวานิช 2 ถนนโยธา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
                ในสมัยก่อนชาวต่างประเทศเดินทางมาไกลบ้านไกลเมือง ไม่มีโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา จึงได้มีกลุ่มคริสตศาสนิกชน ซี่งมีชาวโปรตุเกสเป็นส่วนใหญ่ได้รวมตัวกันสร้างโบสถ์หลังแรกขึ้น โบสถ์
ปัจจุบันนับเป็นโบสถ์หลังที่สามที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน โบสถ์ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อย ชุมชนของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่มาโบสถ์จึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตซึ่งเป็นชาวตะวันตก และในเวลาต่อมาได้เดินทางกลับบ้านเมืองหรือย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นตัวโบสถ์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า วัดกาลหว่าร์ หรือชื่อทางการว่า วัดแม่พระลูกประคำ ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา ย่านชุมชนชาวจีนตลาดน้อย เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก สร้างโดยสัตบุรุษชาวโปรตุเกสที่แยกตัวมาจากชุมชนกุฎีจีน ฝั่งธนบุรี ในภายหลังผู้อุปถัมภ์วัดส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้ารีตที่อาศัยอยู่ในย่านชุมชน ตลาดน้อยชื่อกาลหว่าร์ตั้งตามชื่อภูเขาที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน คือ "กาลวารีโอ" รัชกาลที่ 1 พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์หลังแรกในปี พ.ศ.2329
โบสถ์ที่เห็นปัจจุบันเป็นหลังที่ 3 สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2434 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2441 ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก (Gothic) ซึ่ง เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ลักษณะเด่นคือ ยอดอาคารหรือซุ้มประตูหน้าต่างเป็นรูปโค้งแหลม สูงเพรียวชะลูดพุ่งขึ้นฟ้า ตามช่องหน้าต่างประดับประดาด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ ส่วนหน้าทำเป็นยอดแหลมสูง บนยอดประดับไม้กางเขน ให้ความรู้สึกสวยงาม และคริสตศาสนิกชนที่กำลังประกอบพีธีการแสดงออกถึงความเลื่อมใส ศรัทธา ทำให้เรานั้นก็ได้สัมผัสถึงความสงบ
ความเป็นมาของโบสถ์
คริสตัง ชาวโปรตุเกสที่หลบหนีทหารพม่าที่บุกเข้ามาที่อยุธยา ซึ่งไม่ยอมรับมิสชชันนารีฝรั่งเศส แต่ยอมรับบาทหลวงชาวโปรตุเกส ได้แยกไปอยู่บริเวณที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในปัจจุบัน โดยตั้งชื่อว่าค่ายแม่พระลูกประคำตาม ชื่อรูปแม่พระที่นำมาจากอยุธยา ในช่วงแรกคริสตังในค่ายนี้ยังไม่มีวัดเป็นของตนเอง อีกทั้งไม่มีบาทหลวงโปรตุเกสมาปกครองดูแล จึงจำเป็นต้องเดินทางไปร่วมพิธีทางศาสนาที่วัดซางตาครู้ส
ต่อมาในปี ค.ศ.1786 พระ เจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ให้สร้างโบสถ์ จึงได้มีการสร้างโบสถ์หลังแรกบนที่ดินนี้ โบสถ์หลังแรกนี้สร้างด้วยไม้ยกพื้นสูงเพื่อหนีน้ำท่วมที่มีประจำบริเวณนี้ ชื่อโบสถ์ว่า โบสถ์กาลหว่าร์มาจากชื่อรูปพระตายที่นำมาจากอยุธยา คำว่า กาลหว่าร์ คือสถานที่ที่ได้ทำการตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าจึงเรียกชื่อรูปพระตายว่า กาลหว่าร์
คริสตัง โปรตุเกสได้ขอให้พระอัครสังฆราชแห่งเมืองกัวมาปกครอง แต่ทางเมืองกัวไม่ยอมส่ง โดยมีเหตุผลว่าพวกเขามีผู้ปกครองอยู่แล้ว คือพระสังฆราชชาวฝรั่งเศส ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา ดังนั้น คริสตังโปรตุเกสจึงยอมรับอำนาจการปกครองของมิชชันนารีฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1839 สร้างโบสถ์หลังใหม่ โดยตั้งชื่อว่า วัดแม่พระลูกประคำ แต่ชาวจีนยังคงเรียกว่า วัดกาลหว่าร์ เนื่องจากในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1864 ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ทำลายบ้านพักบาทหลวง ตัวโบสถ์ไม่เสียหาย แต่หลักฐานทุกอย่างของวัดได้ถูกทำลายไปได้มีการสร้างโบสถ์หลังที่ 3 (หลังปัจจุบัน) ในสมัยพระสังฆราชเวย์โดยเริ่มสร้างปี ค.ศ.1891 สร้างเสร็จมีลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค โดยบาทหลวงแดชาลส์ สร้างเสร็จในปี 1897 เสียค่า
ก่อสร้างไปทั้งสิ้น เจ็ดหมื่นเจ็ดพันบาท ได้ทำการบูรณะทาสีในปี ค.ศ.1957 และได้รับการบูรณะซ่อมแซมปรับปรุงสภาพของตัวโบสถ์และลวดลายประดับต่าง ๆ ในปี ค.ศ.1985 และยังคงมีสภาพตัวอาคารที่สมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน
ลักษณะสถาปัตยกรรม
ผังอาคาร
มีลักษณะผังเป็นแบบกางเขนโรมัน (ROMAN CROSS) หรือละติน (LATIN CROSS) ขนาดกว้าง 23.03 เมตร ยาว 50.65 เมตร ลักษณะผังเป็นแบบสมมาตร ตัวอาคารวางตัวยาวตามแนวตะวันออก กับ ตะวันตก โดยหันหน้าโบสถ์ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศตะวันตก ภายในผังแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหน้าเป็นโถงทางเข้า (NARTHEX) โดย ส่วนบนของโถงทางเข้าเป็นหอระฆัง ส่วนกลางเป็นส่วนของที่ร่วมชุมนุมประกอบพิธีกรรม และส่วนด้านหลังของพระแท่นเป็นส่วนเก็บของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรม ที่เรียกว่า ซาคริสเตียน (SACRISTIA) ทั้ง 3 ส่วนรวมอยู่ในโครงสร้างของอาคารเดียวกัน ภายในโบสถ์เป็นโถงโล่งมีเสาลอย 2 คู่ คือ อยู่ในแนวห้องแรกสำหรับรับพื้นบริเวณนักขับชั้นลอย 1 คู่ และบริเวณหน้าพระแท่น 1 คู่

การเจาะช่องเปิดต่าง ๆ ของอาคาร ผนังด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นด้านหน้าของโบสถ์มีช่องเปิด 3 ช่อง ทางด้านหน้าและด้านข้างทั้ง 2 ข้างอีกด้านละ 1 ช่อง เพื่อเข้าสู่ตัวอาคารบริเวณโถงทางเข้า และจากโถงทางเข้าสู่ภายในโบสถ์ เจาะช่องประตู 3 ช่อง โดยมีช่องกลางเป็นประตูใหญ่ และมีช่องริม ทั้ง 2 ข้างเป็นประตูเล็กข้างละ 1 ประตู ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นผนังยาวโดยมีแนวเสาเก็จ แบ่งผนังออกเป็น 9 ช่วงเสา (BAY) โดยในช่วงเสา 2 ช่วง เสาแรก ถัดจากโถงทางเข้า ผนังทั้ง 2 ช่วงเสา (BAY) ยื่นเป็นมุขหลายเหลี่ยมออกด้านข้าง ภายในมุขยื่นนี้แบ่งผนังออกเป็น 3 ด้าน ผนังกลางของด้านทั้ง 3 เจาะช่องหน้า 2 ช่องและผนังข้างทั้ง 2 ด้านเจาะช่องหน้าต่างด้านละ 1 ช่อง ช่วงเสาที่ 7 ยื่นเป็นมุข (TRANSEPT) ภายในมุขยื่นผนังด้านข้างเจาะ ช่องหน้าต่างขนาดเล็กข้างละ 1 ช่อง ส่วนผนังกลางเจาะช่องหน้าต่างขนาดเดียวกัน หน้าต่างผนังห้องอื่นทั่วไป ส่วนด้านหลังพระแท่นภายในห้องซาคริสเตียน (SACRISTY) แบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีการเจาะช่องประตูทั้งทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ข้างละ 1 ประตูและเจาะช่องหน้าต่างตามแนวผนัง ผนังด้านทิศตะวันออกเจาะช่องหน้าต่าง 3 ช่องจากห้องซาคริสเตียนห้องกลางเจาะช่องสำหรับเดินออกมาหลังแนวตู้ศีลได้
             องค์ประกอบภายในผังของส่วนร่วมชุมนุมประกอบพิธีกรรม แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนศักดิ์สิทธิ์ (HOLY OF HOLY) ประกอบไปด้วยพระแท่นบูชา ตู้เก็บศีลมหาสนิท ที่อ่านบทอ่าน ที่อ่านพระคัมภีร์ (สำหรับประกอบพิธีภาควจนพิธีกรรม) ที่นั่งประธาน โต๊ะสำหรับเตรียมเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ บริเวณมุขยื่น (TRANSEPT) เป็นที่ตั้งแท่นเล็ก (CHAPEL) พื้นที่ ส่วนที่สองคือ ส่วนที่ชุมนุมของสัตบุรุษ ประกอบไปด้วย ธรรมาสน์เก่า แนวทางเดินกลาง เก้าอี้นั่งของสัตบุรุษ ที่จุ่มน้ำเสกก่อนเข้าโบสถ์ บริเวณที่ฟังแก้บาป และบันไดเวียนสำหรับขึ้นชั้นลอยสำหรับนักขับ และเป็นทางขึ้นสู่ยอดหอระฆัง ในการแบ่งพื้นที่ใช้การยกระดับของพื้นแสดงขอบเขตโดยพื้นที่เป็นส่วนที่มี ความสำคัญกว่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น
รูปแบบอาคาร
               มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก รูปทรงอาคารเป็นแท่งสี่เหลี่ยมมีมุขยื่น 2 ข้าง ข้างละ 2 มุข ด้านสกัดแคบยาวออกไปทางด้านหลัง ด้านหน้า แบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยแนวเสาเก็จ ประกอบด้วยประตูโค้งแหลม 3 ประตูส่วนล่าง และหน้าต่างกลมกรุกระจกสี 3 ข้าง เหนือประตูริม เน้นช่วงกลางด้วยหอคอยสูง 4 ชั้น ยอดกรวยแหลมสูง และจั่วซุ้มประตู  ยื่นออกจากระนาบผนังด้านหน้า หน้าจั่วเป็นลายปูนปั้น ยอดจั่วเป็นซุ้มตั้งรูปแม่พระ ส่วนบนช่วงกลางของด้านหน้าเจาะหน้าต่างกลม (ROSE WINDOW) ขนาดใหญ่ หอสูงชั้นที่ 3 มีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเจาะหน้าต่างโค้งแหลม 1 คู่ ติดบานเกร็ด ชั้นบนเป็นแท่งแปดเหลี่ยมแต่ละด้านเจาะหน้าต่างโค้งแหลมด้านละ 1 ด้าน ผนังด้านหน้าทุกชิ้นแบ่งด้วยลวดบัว รอบ ๆ ยอดของหอคอยสูงเป็นลูกกรงระเบียงล้อมรอบเหนือแนวเสาเก็จเป็นยอดแหลม (PINNACAL)                 ด้านข้าง แบ่งเป็น 11 ช่วงเสา หน้าต่างช่วงล่างเป็นโค้งแหลม หน้าต่างช่วงบนเป็นหน้าต่างกลม แต่ละช่วงแบ่งเป็น 2 ชั้นด้วยลวดบัว ช่วงเสาที่ 2 และที่ 3 นับจากโถงด้านหน้ายื่นออกเป็นมุข 1 คู่และช่วงเสาที่ 8 ยื่นออกเป็นมุข (TRANSEPT) 1 คู่ และที่ปลายสุดของอาคารยื่นออกเป็นมุขหลายเหลี่ยม มุขทั้งหมดสูงชั้นเดียว ผนังของมุข เจาะหน้าต่างโค้งแหลม ขนาดเล็กกว่าหน้าต่างผนังอาคาร ยอดบนของเสาเก็จทุกด้านเป็นยอดแหลม (PINNACAL) ระหว่าง ยอดแหลมเชื่อมด้วยราวลูกกรงระเบียง ด้านข้างของอาคารจะมีลักษณะเด่นของการเจาะช่อง และการแบ่งผนังด้วยเสาเก็จในทางตั้งและลวดบัวในทางนอน หลังคาตัวอาคารเป็นจั่วขนาดใหญ่ คลุมยาวตลอดตัวอาคาร ส่วนมุขส่วนหน้าและท้ายอาคารมีหลังคาโค้งคลุมเฉพาะ ส่วนมุขช่วงเสาที่ 8 อยู่ ระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์ กับส่วนชุมนุมเป็นหลังคาจั่วเปิดเล็ก ๆ สูงเท่าระดับตัวอาคารหน้าบันเจาะช่องหน้าต่างกลมประดับกระจกสี ขอบของจั่วเป็นลายปูนปั้นคล้ายใบอะแคนทัส ยอดจั่วมีลักษณะเป็นยอดอ่อนของต้นไม้
ภายในโบสถ์เป็นโถงโล่งขนาดใหญ่ มีทางเดินกลางเชื่อมจากด้านนอกสู่ด้านใน บริเวณแท่นบูชา มีโค้งแบบประตูชัยโรมันขนาดใหญ่ แบ่งที่ว่างระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์กับส่วนชุมนุมของสัตบุรุษ ด้านหน้าจากประตูทางเข้า มีเสากลม 2 กลุ่ม รับพื้นชั้นลอย ซึ่งอยู่ด้านหน้าทำให้ระนาบของเพดานด้านหน้านี้ต่ำกว่าด้านใน มีลวดลายพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ลายแบ่งระหว่างทางเดินและบริเวณที่ นั่งของสัตบุรุษ พื้นบริเวณส่วนศักดิ์สิทธิ์และปีกมุขเป็นพื้นหินอ่อน ลักษณะผนังภายใน เจาะช่องหน้าต่างเหมือนภายนอก หากแต่เห็นความหนาของผนังอาคารบริเวณที่เชื่อมกับมุข เจาะเป็นช่องโค้งแหลมขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยลวดบัว ส่วนล่างของผนังเจาะเป็นช่องโค้งแหลมต่อกันเป็นช่วงๆ ส่วนบนของผนังเจาะช่องระบายอากาศกลมลวดบัวและประดับด้วยลายเถาองุ่นทำสีปิด ทองบางส่วนโดยรอบผนังทุกด้าน ผนังบริเวณหัวโบสถ์เป็นผนังโค้ง มีเสากลมปิดทอง 4 ด้าน แบ่งผนังเป็นช่วง ๆ ผนังช่วงกลางเป็นช่องเว้า (NICHE) ขนาดใหญ่ตั้งรูปแม่พระ ส่วนด้านข้างเป็นช่องเว้าขนาดเล็กตั้งรูปนักบุญยาโกเบ และนักบุญเบเนดิกโต ข้างละ 1 องค์ ส่วนล่างของผนังเป็นช่องประตูเปิดเข้า-ออกห้องซาคริสเตียนด้านหลัง ผนังส่วนหน้าชั้นระหว่างบริเวณส่วนศักดิ์สิทธิ์กับส่วนชุมนุม ส่วนบนเจาะช่องเว้า (NICHE) ตั้ง รูปนักบุญเยโรมีโนและนักบุญอันนา ส่วนช่วงล่างเป็นช่องทางเดิน แต่เดิมระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์และส่วนชุมนุมจะมีรั้วเตี้ยกั้นแบ่งไว้เฉพาะ แต่ปัจจุบันได้รื้อออกแล้ว ภายในโบสถ์จะมีส่วนของธรรมาสน์เก่า อยู่บริเวณด้านซ้ายมือค่อนไปทางด้านหน้าลักษณะฝ้าเพดาน มีการตกแต่งเขียนสีเห็นโครงสร้างหลังคาบางส่วนโดยเน้นส่วนโครงสร้างหลังคา ด้วยสีน้ำตาลเข้ม
                ฝ้าแบ่งเป็นช่วง ๆ ฝ้าส่วนที่นั่งสัตบุรุษส่วนกลางเป็นลายดวงดาวอยู่ในวงกลมและที่รอบทั้ง 4 ด้านมีรูปสัญลักษณ์เอ็ม 2 ตัว ซ้อนกัน หมายถึง แม่พระ ส่วนฝ้าเพดานบริเวณหัวโบสถ์เป็นฝ้าโค้ง เห็นโครงสร้างของหลังคาบางส่วนแบ่งฝ้าเป็นช่วง ๆ โดยแต่ละช่วงเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง แม่พระ (ซ้ายไปขวา) ปราสาทดาวิด สำนักพระญานสุขุม ดาวประจำรุ่ง หีบพระบัญญัติ กุหลาบสวรรค์ เคหะทองคำ ภาชนะยอดศรัทธา ปราสาทงา แต่ละชื่อมีความหมายเฉพาะ ลวดลายต่าง ๆ เป็นการเขียนสี และปิดทอง ในแนวฝ้าโดยรอบที่เชื่อมกับผนังเป็นลายซุ้มโค้งแหลมต่อกันเป็นแนวทั้งอาคาร ภายใน อาคารมีช่องหน้าต่างกระจกสีกว้างและสูงทำให้ภายในมีบรรยากาศที่ค่อนข้าง โปร่งและได้ความสว่างจากแสงภายนอก
เทคนิคการก่อสร้าง
               ตัวอาคารผนังก่ออิฐฉาบปูนโครงสร้างอาคารเป็นแบบผนังรับน้ำหนัก (BEARING WALL) โดย มีเสาเก็จ หรือผนังยัน ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มความหนาของผนังช่วงที่ต้องรับโครงสร้างหลังคาทำให้ สามารถช่วยรับแรงถีบจากโครงสร้างหลังคาได้ สามารถเจาะช่องหน้าต่างได้กว้าง โครงสร้างหลังคาเป็นโครงสร้างไม้ลักษณะเป็นโครงถัก
มีการใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ดึงระหว่างโครงสร้างแทนการใช้ไม้ ส่วนของโครงบริเวณหัวโบสถ์มีลักษณะเป็นโวลท์ครึ่งซีก



บรรณานุกรม
ผุสดี ทิพทัส, หลักเบื้องต้นในการจัดองค์ประกอบในงานสถาปัตยกรรม,สำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช,2530
Notes and Queries, No. 9. December 29, 1849
pour terminer le haut de leurs ouvertures. La Compagnie a désapprové plusieurs de ces nouvellesmanières,
qui sontdéfectueuses et qui tiennent la plupart du gothique." Quoted in Fiske Kimball, The Creation of the Rococo, 1943, p 66.e
  http://yn-nat.blogspot.com/2010/09/gothic-revival-architecture.html